เมนู

3. ติสสสูตร


[53] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขา
คิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วงไป เทวดา
2 ตน มีรัศมีงาม ยังภูเขาคิชฌกูฏทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วเทวดาตนหนึ่งได้กราบทูลพระผู้มี
พระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุณีเหล่านี้หลุดพ้นแล้ว
เทวดาอีกตนหนึ่งกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุณีเหล่านี้
หลุดพ้นด้วยดีแล้ว เพราะไม่มีอุปาทานขันธ์เหลืออยู่ เทวดาเหล่านั้น
ได้กราบทูลดังนี้แล้ว พระศาสดาทรงพอพระทัย ลำดับนั้น เทวดา
เหล่านั้นทราบว่า พระศาสดาทรงพอพระทัย จึงถวายอภิวาท
กระทำประทักษิณแล้วหายไป ณ ที่นั้น ครั้นล่วงราตรีนั้นไป
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เมื่อคืนนี้ เมื่อปฐมยามล่วงไป มีเทวดา 2 ตนมีรัศมีงาม ยังภูเขา
คิชฌกูฏทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้ามาหาเราถึงที่อยู่ อภิวาทแล้ว ได้ยืน
อยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ครั้นแล้ว เทวดาตนหนึ่งได้กล่าวกะเราว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุณีเหล่านี้หลุดพ้นแล้ว เทวดาอีกตนหนึ่ง
กล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุณีเหล่านี้หลุดพ้นด้วยดีแล้ว
เพราะไม่มีอุปาทานขันธ์เหลืออยู่ เทวดาเหล่านั้นครั้นกล่าวแล้ว
อภิวาทเรา กระทำประทักษิณแล้วหายไป ณ ที่นั้นนั่นแล ก็สมัยนั้นแล
ท่านพระมหาโมคคัลลานะนั่งอยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า

ท่านคิดเห็นว่า เทวดาเหล่าไหนหนอ มีญาณหยั่งรู้อย่างนี้ ในบุคคล
ผู้ยังมีอุปาทานขันธ์เหลือว่า ยังมีอุปาทานขันธ์เหลือหรือในบุคคล
ผู้ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือว่า ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือ ก็ในสมัย
นั้นแล ภิกษุชื่อตสสะมรณภาพแล้วไม่นาน เข้าถึงพรหมโลก
ชั้นหนึ่ง แม้ในพรหมโลกนั้นก็รู้กันอย่างนี้ว่า ท้าวติสสพรหม
เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะ
หายจากภูเขาคิชฌกูฏไปปรากฏ ณ พรหมโลกนั้น เหมือนบุรุษ
ผู้มีกำลังเหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น ท้าวติสสพรพม
ได้เห็นท่านพระมหาโมคคัลลานะกำลังมาแต่ไกล จึงกล่าวกะท่านว่า
ข้าแต่ท่านโมคคัลลานะ ผู้นิรทุกข์นิมนต์มาเถิด ท่านมาดีแล้วนานแล้ว
ที่ท่านกระทำปริยายเพื่อมาที่นี้ ขอนิมนต์ท่าน นั่งเถิด นี่อาสนะปูไว้
แล้ว.
ท่านพระมหาโมคคัลลานะนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้แล้ว
แม้ติสสพรหม อภิวาทท่านพระมหาโมคคัลลานะแล้ว นั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ถามว่า ดูก่อน
ติสสะ เทวดาเหล่าไหนหนอ มีญาณหยั่งรู้อย่างนี้ในบุคคลผู้ยังมี
อุปาทานขันธ์เหลือว่า ยังมีอุปาทานขันธ์เหลือ หรือในบุคคลผู้ไม่มี
อุปาทานขันธ์เหลือว่า ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือ.
ติสสพรหมกล่าวว่า ข้าแต่ท่านโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ เทวดา
ชั้นพรหม ย่อมมีญาณหยั่งรู้อย่างนี้ในบุคคลผู้ยังมีอุปาทานขันธ์
เหลือ ว่ายังมีอุปาทานขันธ์เหลือ หรือในบุคคลผู้ไม่มีอุปาทานขันธ์
เหลือว่าไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือ.

ม. เทวดาชั้นพรหมทั้งหมดหรือ ที่มีญาณหยั่งรู้อย่างนี้ใน
บุคคลผู้มีอุปาทานขันธ์เหลือว่า ยังมีอุปาทานขันธ์เหลือ หรือใน
บุคคลผู่ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือว่า ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือ.
ต. ข้าแต่พระโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ เทวดาชั้นพรหมไม่ใช่
ทั้งหมด ที่มีญาณหยั่งรู้อย่างนี้... ข้าแต่ท่านโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์
เทวดาชั้นพรหมเหล่าใด ผู้ยินดีด้วยอายุ วรรณะ สุข ยศ และความ
เป็นอธิบดี อันเป็นของพรหม แต่ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่ง
อุบายเป็นเครื่องสลัดออกไปอย่างยิ่งแห่งอายุเป็นต้นนั้น เทวดา
ชั้นพรหมเหล่านั้น ไม่มีญาณหยั่งรู้อย่างนี้ในบุคคลผู้มีอุปาทานขันธ์
เหลือว่า ยังมีอุปาทานขันธ์เหลือ หรือในบุคคลผู้ไม่มีอุปาทานขันธ์
เหลือว่า ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือ ส่วนเทวดาชั้นพรหมเหล่าใด
ไม่ยินดีด้วยอายะ วรรณะ สุข ยศ และความเป็นอธิบดี อันเป็นของ
พรหม และรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งอุบายเป็นเครื่องสลัดออกไป
อย่างยิ่งแห่งอายุเป็นต้นนั้น เทวดาชั้นพรหมเหล่านั้น ย่อมมีญาณ
หยั่งรู้อย่างนี้... ข้าแต่ท่านโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ ภิกษุในธรรม
วินัยนี้ เป็นอุภโตภาควิมุติ เทวดาเหล่านั้นย่อมรู้ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า
ท่านผู้นี้ เป็นอุภโตภาควิมุติ กายของท่านจักตั้งอยู่เพียงใด
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นท่านเพียงนั้น เพราะกายสลายไป
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นท่าน ข้าแต่ท่านโมคคัลลานะ
ผู้นิรทุกข์ เทวดาเหล่านั้นย่อมมีญาณหยั่งรู้อย่างนี้ในบุคคลผู้ไม่มี
อุปาทานขันธ์เหลือว่า ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือ ข้าแต่ท่านโมคคัลลานะ
ผู้นิรทุกข์ อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นปัญญาวิมุติ เทวดา

เหล่านั้นย่อมรู้ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ทานผู้นี้แลเป็นปัญญาวิมุติ
กายของท่านจักตั้งอยู่เพียงใด เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็น
ท่านเพียงนั้น เพราะกายสลายไป เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่
เห็นท่าน. ข้าแต่ท่านโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ เทวดาเหล่านั้นย่อม
มีญาณหยั่งรู้อย่างนี้ ในบุคคลผู้ไม่มีอุปาทานขันธ์เหลือว่า ไม่มี
อุปาทานขันธ์เหลือ ข้าแต่ท่านโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ อนึ่ง ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ เป็นกายสักขี (ผู้บรรลุฌานแล้วกระทำให้แจ้ง
ซึ่งนิพพาน) เทวดาเหล่านั้น ย่อมรู้ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นั้นแล
เป็นกายสักขีแม้ไฉน ท่านผู้นี้เสพเสนาสนะที่สมควรอยู่ คบกัลยาณ-
มิตร อบรมอินทรีย์ พึงกระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์
อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลาย ออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ
ตามต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งยง ในทิฏฐธรรม เข้าอยู่ ข้าแต่ท่าน
โมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ เทวดาเหล่านั้นย่อมมีญาณหยังรู้อย่างนี้
ในบุคคลผู้มีอุปาทานขันธ์เหลือว่า มีอุปาทานขันธ์เหลือ ข้าแต่ท่าน
โมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นทิฏฐิปัตตะ
(ผู้ถึงที่สุดทิฐิ) ฯลฯ เป็นสัทธาวิมุติ (ผู้หลุดพ้นเพราะศรัทธา) ฯลฯ
ข้าแต่ท่านโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็น
ธัมมานุสารี (ผู้ดำเนินตามกระแสธรรม) เทวดาเหล่านั้นย่อมรู้
ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้และเป็นธัมมานุสารี แม้ไฉน ท่านผู้นี้
เสพเสนาสนะที่สมควรอยู่ คบกัลยาณมิตร อบรมอินทรีย์ พึงกระทำ
ให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลาย
ออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบตามต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง

ในทิฏฐธรรม เข้าถึงอยู่ ข้าแต่ท่านโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ เทวดา
เหล่านั้นย่อมมีญาณหยั่ง อย่างนี้ในบุคคลผู้มีอุปาทานขันธ์เหลือว่า
มีอุปาทานขันธ์เหลือ.
ลำดับนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะชื่นชมยินดีภาษิตของ
ท้าวติสสพรหมแล้ว หายจากพรหมโลกไปปรากฏที่เขาคิชฌกูฏ
เหมือนบุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น
แล้วท่านพระมหาโมคคัลลานะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง
ที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้กราบทูลถ้อยคำสนทนาปราศรัยกับท้าวติสสพรหมทั้งหมด
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนโมคคัลลานะ ก็ท้าว-
ติสสพรหมไม่ได้แสดงบุคคลอนิมิตตวิหารี (ผู้มีปกติบรรลุเจโต -
สมาธิอันหานิมิตมิได้อยู่) ที่ 7 แก่เธอหรือ.
ท่านพระมหาโมคคัลลานะกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค-
เจ้าผู้สุคต บัดนี้เป็นการควรที่พระผู้มีพระภาคเจ้า จะพึงทรงแสดง
ถึงบุคคลอนิมิตวิหารีที่ 7 ข้าแต่พระสุคต ภิกษุทั้งหลายได้ฟัง
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จักทรงจำไว้.
พ. ดูก่อนโมคคัลลานะ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี
เราจักกล่าว.
ท่านพระมหาโมคคัลลานะ รับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนโมคคัลลานะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมบรรลุเจโตสมาธิอันหานิมิตมิได้ เพราะไม่ใส่ใจถึงนิมิตทั้งปวงอยู่

เทวดาเหล่านั้นย่อมรู้ภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้แล บรรลุเจโต-
สมาธิอันหานิมิตมิได้ เพราะไม่ใส่ใจถึงนิมิตทั้งปวงอยู่ แม้ไฉน
ท่านผู้นี้เสพเสนาสนะที่สมควรอยู่ คบกัลยาณมิตร อบรมอินทรีย์
พึงกระทำให้แจ้งซึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตร
ทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบตามต้องการนั้น ด้วยปัญญา
อันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรม เข้าถึงอยู่ ดูก่อนโมคคัลลานะ เทวดาเหล่านั้น
ย่อมมีญาณหยั่งรู้อย่างนี้ในบุคคลผู้มีอุปาทานขันธ์เหลือว่า มี
อุปาทานขันธ์เหลือ.
จบ สูตรที่ 3

4. สหสูตร


[54] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคาร
ศาลา ป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี ครั้งนั้นแล สีหเสนาบดีเข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ พระองค์อาจทรงบัญญัติผลแห่งทานที่ประจักษ์ในปัจจุบัน
ได้หรือไม่.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนสีหะ ถ้าอย่างนั้น จักย้อน
ถามท่านในปัญหาข้อนี้ก่อน ท่านพึงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้นตาม
ชอบใจท่าน ดูก่อนสีหะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ใน
เมืองเวสาลีนี้ มีบุรุษอยู่ 2 คน คนหนึ่งไม่มีศรัทธา ตระหนี่ ถี่เหนียว
พูดเสียดสี คนหนึ่งมีศรัทธา เป็นทานบดี ยินดีให้ความสนับสนุน
ดูก่อนสีหะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พระอรหันต์ทั้งหลาย
เมื่อจะอนุเคราะห์พึงอนุเคราะห์คนไหนก่อน จะเป็นคนไม่มีศรัทธา
ตระหนี่ ถี่เหนียว พูดเสียดสี หรือคนที่มีศรัทธา เป็นทานบดี ยินดี
ให้ความสนับสนุน.
สี. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนที่ไม่มีศรัทธา ตระหนี่ถี่เหนียว
พูดเสียดสี พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่ออนุเคราะห์ จักอนุเคราะห์
คนนั้นก่อนอย่างไรได้ ส่วนที่มีศรัทธา เป็นทานบดี ยินดีให้ความ
สนับสนุน พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่ออนุเคราะห์ พึงอนุเคราะห์คนนั้น
ก่อนเทียว.